ดูจะวนเวียนแต่เรื่องภัยสุขภาพที่เกิดขึ้นใกล้ตัว วันแล้ววันเล่า ฉบับแล้วฉบับเล่า ไม่ได้ไปไกลจากความกังวลเรื่องนี้เลย ตั้งแต่ท้ายปีจนล่วงเลย 2568 มาเป็นเดือนแล้วก็ตาม !!
สิ่งที่เราท่านต้องสบายใจได้อย่างหนึ่ง คือการสาธารณะสุขของไทยเรา เอาชนะได้ทุกเรื่อง
เรามีแพทย์เก่ง มีพยาบาลดี มีระบบการป้องกัน-แก้ไขที่รวดเร็วและเชิงรุก อาจจะเนื่องมาจากความพร้อมของระบบสาธารณะสุขที่แข็งแกร่งมาช้านาน คนไทยก็เลยกลายเป็นคนโชคดีกว่าคนหลายๆประเทศที่แวดล้อมเป็นเพื่อนบ้านเราอยู่ในเวลานี้
ดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสอง-สามเดือนก่อน การระบาดของอหิวาต์แถบชายแดนไทย-พม่า
หรือการระบาดของโนโรไวรัสที่แค่แอลกอร์ฮอล์ปกติเอาไม่อยู่
แม้สองเรื่องนี้ยังไม่ผ่านจากชีวิตเราไป แต่ก็พอจะเบาใจลงได้บ้าง เพราะการมีศูนย์ปฏิบัติการณ์ส่วนหน้า มาตรการต่างๆที่ประกาศกันออกมาฉับไว ที่เห็นว่าสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ามาตรการแก้ไข คือมาตรการป้องกันให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างทันท่วงทีที่มีการระบาดของโรค ประชาชนของเราจึงเหมือนมีเกราะ มีกำแพง ไม่ว่าความเป็นอยู่นั้นจะเป็นคนใจกลางกรุงเทพฯ หรือคนต่างจังหวัดบ้านนอกบ้านนา ที่มีอาสาสาธารณะสุขเดินเยี่ยมเยียนถึงบันไดทุกบ้าน
วันก่อนมีโอกาสไปนอนเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ 3-4 คืนที่นั่นนอกจากได้อะไรไว้เขียนถึงหลายอย่างแล้ว
ยังได้เห็นท้องฟ้าจากชั้น 14 ที่ครอบคลุมเมืองเชียงรายด้วยสภาพสลัวมัวเซา ราวหมอกหน้าหนาว
พยาบาลคนหนึ่งบอกว่า¼นั่นฝุ่นควันพิษนะไม่ใช่หมอกฤดูหนาว มันมาถึงบ้านเราแล้ว มาเร็วกว่าทุกปี หลายคนอาจจะนึกว่ามันหนักๆกันอยู่แค่ภาคกลาง-นั่นก็ใช่ !! แต่เชียงรายและภาคเหนือ-กลาง-อีสาน 45 จังหวัดถูกจัดอยู่ในกลุ่ม“เริ่มมีผลต่อสุขภาพ” หรือระดับสีส้ม
โดยภาคกลาง 15 จังหวัดนำโด่งยึดกลุ่ม“มีผลกระทบต่อสุขภาพ” หรือพื้นที่สีแดง ไปก่อนใครแล้ว !!
นี่เป็นข้อมูลของวันที่ 23 มกราคม 2568
โฆษกกระทรวงสาธารณะสุขแถลงว่า มีรายงานผ่านระบบด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับการรับสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน(PM 2.5)รายสัปดาห์ที่เข้ารับบริการในเดือนมกราคม 2568 ภาพรวม 144,000 เป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบมากที่สุด !!
รองลงมาเป็นกลุ่มโรคตาอักเสบกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน(สพฐ.) ออกโรงกำชับผู้บริหารสถานศึกษาและสำนักงานเขตฯ ติดตามสถานการณ์และตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่ หากโรงเรียนใดตั้งอยู่ในพื้นที่ฝุ่น PM 2.5 ค่าสีแดง-มีผลต่อสุขภาพ ให้ผู้บริหารโรงเรียนสั่งปิดการเรียนได้ทันทีเป็นเวลา 7 วันหรือจนกว่าจะคลี่คลาย แล้วปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์
อย่างไรก็ดีแม้ปีนี้ฝุ่นควันพิษจะมาเร็วกว่าทุกปี และเล่นงานภาคกลางก่อนภาคอื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าการแผ่ขยายมลพิษทางอากาศจะไม่กระจายไปยังภาคอื่นๆ เพราะแม้พื้นที่เพื่อนบ้านหากประเทศนั้นมีการเผาหนักหน่วง พื้นที่ใกล้เคียงก็เฉลี่ยความอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างที่เราประสบมา เช่น ควันไฟจากอินโดนีเซียเคยถล่มภาคใต้
การเผาในกัมพูชาทำให้กรุงเทพฯและใกล้เคียงเดือดร้อนหนักหน่วงได้ทันที
หรือจากพม่าที่มาร่วมสร้างท้องฟ้าภาคเหนือให้มืดมิดนานนับเดือน
นี่ยังไม่ได้นับรวมจากการเผาในพื้นที่ประเทศไทยเอง ไม่ว่าเผาซังข้าวเพื่อฤดูกาลใหม่ การเผาไร่อ้อย และการเผาป่า-ไฟป่า ที่รุนแรงมากน้อยก็แล้วแต่สถานการณ์ของแต่ละปี แต่ละพื้นที่
จะควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นเลยนั้น-เจ้าอย่าหวัง !!
ถามว่า-แล้วกรมฝนหลวง การบินเกษตร ช่วยเหลือเราได้อย่างไรบ้าง ??
ก็เห็นมีข่าวการบินในพื้นที่กทม.ปีนี้เป็นปีแรก ด้วยการบินขึ้นไปโปรยน้ำและน้ำแข็งแห้ง คงได้ผลบ้างล่ะ ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องมองการแก้ปัญหานี้ไปยังทุกพื้นที่ของประเทศ เพราะทุกพื้นที่ที่เกิดปัญหา ประชาชนได้รับผลกระทบเท่ากันหมด¼การแก้ปัญหาจึงต้องเกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมทั่วประเทศ !!