ผมเขียนบทความนี้เพื่อให้เป็นข้อคิดกับพ่อแม่ของแพทย์หรือข้าราชการที่กำลังจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานต้นสังกัดต่างๆตามพันธะสัญญา หลายคนต้องไปทำงานในรพ.ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนา ตัวแพทย์หรือข้าราชการเองนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พ่อแม่มักเป็นห่วงอยากให้ลูกมาทำงานที่ใกล้บ้าน จะได้ดูแลลูกได้และบางครั้งจะได้พึ่งพาลูกได้เช่นกัน
ทำให้คิดถึงตัวเองที่บรรจุราชการครั้งแรก พศ.2522 ที่ รพ.เบตง ยะลา ทั้งที่ภูมิลำเนาอยู่ที่ลำปาง พ่อแม่ก็อาศัยอยู่ที่ลำปาง เมื่อโทรศัพท์ไปบอกพ่อครั้งแรกว่าต้องไปทำงานที่ รพ.เบตง ยะลา พ่อถามว่าอยู่ที่ไหน ผมบอกว่าเป็นอำเภอที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย
ยังจำคำที่พ่อพูดได้ดีว่า “ไม่เป็นไรนะลูก ยิ่งอยู่ในพื้นที่ ที่ห่างไกล หรือในพื้นที่ ที่ขาดแคลน ชีวิตของเรายิ่งมีคุณค่า” เป็นคำพูดที่ให้กำลังใจลูกในการเริ่มทำงานในอาชีพแพทย์ที่ประเสริฐที่สุด
ผมขอฝากบทความนี้สำหรับพ่อแม่และแพทย์รวมถึงข้าราชการทุกคน ตลอดจนคนไข้และประชาชนให้มีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน “ถ้าเราดูแลพ่อแม่คนอื่นให้ดีแล้ว หมอคนอื่นย่อมดูแลพ่อแม่เราดีด้วย”
นพ.พิษณุ ขันติพงษ์
การทำงานในหน้าที่ของแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ในการดูแลรักษาคนไข้นั้นแม้ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพในการเลี้ยงตัวเราและครอบครัวแต่ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างกุศลสะสมบุญไปด้วย
เราจึงควรภูมิใจในวิชาชีพ ทำหน้าที่ของเราให้ดีและมีความสุขในการทำงานไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรืองานจะหนักเพียงใด
วันก่อนผมได้อ่านข้อความที่หมอรุ่นน้องโพสลงใน social media เล่าถึงการทำงานเป็นแพทย์ในรพช.ที่มีความยุ่งอยู่ตลอดเวลาทั้งคนไข้ชาวไทยหรือจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆและจากโรคที่หามาเองเช่นอุบัติเหตุจากจราจร ทำให้ไม่มีเวลาได้ไปดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องจนกระทั่งคุณแม่มีอาการเจ็บป่วยกระทันหันและพบว่าเป็นโรคหัวใจ ต้องรีบขับรถกลับไปบ้านที่อยู่คนละจังหวัด เพื่อพาแม่ไปหาอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่พาแม่ไปรักษาก็ยังมีโทรศัพท์จาก รพ. ตามตัวไปช่วยดูแลคนไข้ที่ รพ. คุณแม่ก็ไล่ให้ไปรักษาคนไข้ไม่ต้องห่วงคุณแม่ ทำให้คุณหมอเกิดความรู้สึกว่าตนเองทำงานหนัก อยู่ไกลบ้าน ไม่มีเวลาที่จะดูแลคุณแม่ของตนเองจึงคิดที่จะเลิกอาชีพแพทย์ เพื่อมาอยู่บ้านดูแลคุณแม่
ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์รุ่นพี่และเคยเป็นอาจารย์สอนคุณหมอรู้สึกเห็นใจและเสียดายถ้าต้องเสียคุณหมอดีๆที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชน จึงได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นเพื่อให้กำลังใจว่า
ผมเองตั้งแต่เรียนจบแพทย์ก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่บ้านโดยเป็นแพทย์ฝึกที่รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี เป็นแพทย์ใช้ทุนที่ รพ.เบตง 2 ปี เข้าเรียนแพทย์เฉพาะที่รพ.ราชวิถีแล้วไปทำงานที่เชียงราย ผมไม่ได้กลับมาทำงานที่รพ.ลำปางเพื่อจะได้ดูแลพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่อยู่ลำปางเลย
ผมยังจำได้เมื่อเป็นเด็กยังไม่ได้เรียนแพทย์ มีเพื่อนๆย่าถามย่าของผมซึ่งอยู่บ้านนอกถึงคุณอาที่เป็นหมอทำงานอยู่อเมริกาหลังจากไปศึกษาต่อจนจบเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ว่าทำไมไม่เรียกตัวกลับมาทำงานที่เมืองไทยเพื่อดูแลรักษาท่านและคนไทยด้วยกัน
ย่าผมตอบว่า “ไม่จำเป็นหรอก เพราะอาเป็นหมอ อยู่ที่ไหนก็ได้ดูแลรักษาคนไข้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนยากดีมีจนอย่างไร ก็เป็นคนไข้ที่ต้องการให้หมอรักษา”
ผมรู้สึกทึ่งในความคิดของคุณย่าที่ไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านหนังสือไม่ออกแต่มีความเข้าใจในวิชาชีพแพทย์ จึงมีความคิดอยู่เสมอว่าถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องของเราแต่ถ้าเราดูแลรักษาคนไข้ซึ่งก็เป็นพ่อแม่ญาติพี่น้องของคนอื่นให้ดีที่สุด คุณหมอคนอื่นก็จะดูแลรักษาพ่อแม่ญาติพี่น้องของเราอย่างดีที่สุดเช่นกัน
ผมก็ไม่ทราบว่าน้องหมอคนนั้นจะตัดสินใจอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามโดยพื้นฐานที่เป็นหมอที่ดีทำงานรักษาคนไข้จนเป็นที่รักของคนไข้และผู้ร่วมงาน ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรย่อมจะมีความเจริญในอาชีพนั้นๆอย่างแน่นอน
ผมเชื่อว่าความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต คนที่ไม่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณจะหวังให้เป็นคนดี คนที่รู้คุณของแผ่นดินทำงานเสียสละให้แก่สังคมและแผ่นดินถิ่นกำเนิดนั้นคงจะเป็นไปได้ยาก ผมจะเคารพในการตัดสินใจของคุณหมอพร้อมเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นหมอหรือไม่ก็ตาม
ในขณะที่ยังรับราชการเป็นผู้อำนวยการรพ.รพ.น่าน มีพยาบาลวิชาชีพระดับชำนาญการขอลาออกจากราชการด้วยเหตุผลเพื่อไปดูแลครอบครัวและประกอบอาชีพอื่นที่บ้าน ผมในฐานะผู้บังคับบัญชาดูประวัติการทำงานพบว่ารับราชการตั้งแต่อายุ 20 ปี อายุราชการ 27 ปี แล้ว เริ่มต้นจากพยาบาลเทคนิคแล้วไปเรียนต่อเป็นพยาบาลวิชาชีพ สอบถามหัวหน้าพยาบาลทราบว่าปัจจุบันเป็นผู้ช่วยหัวหน้าตึกพิเศษ
เนื่องจาก รพ. อยู่ในภาวะขาดแคลนพยาบาล ผมได้พูดคุยกับหัวหน้าพยาบาล ผู้ร่วมงานและเจ้าหน้าที่รพ.ทุกระดับทั้งที่ตึกพิเศษและทั่วไปพบว่าทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นคนที่ทำงานดีมาก เป็นที่รักของเจ้าหน้าที่ทุกคนตลอดจนคนไข้และญาติ
ผมรับรู้ได้ถึงเพื่อนร่วมงานที่มีคุณค่ามาก ที่ต้องรักษาไว้ในองค์กรจึงได้ขอพบเพื่อพูดคุยด้วย เมื่อเห็นหน้าก็จำได้เพราะผมเพิ่งไปเยี่ยมที่ตึกเพื่อให้กำลังใจทุกคนเนื่องจากเพิ่งมีพยาบาลเพื่อนร่วมงานเสียชีวิต เมื่อคุยกันแล้วจึงได้ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าครอบครัวอยู่ลำปาง สามีเป็นวิศวกรระดับผู้บริหารแล้ว ลูกๆก็เรียนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงอยากไปอยู่กับสามีเพื่อทำหน้าที่ภรรยาอย่างเต็มที่
ชีวิตนี้ได้ทำหน้าที่พยาบาลทุ่มเทกับงานที่ตัวเองรักมากอย่างเต็มที่แล้วครึ่งชีวิต ไม่เคยได้ดูแลครอบครัว แม้แต่ครั้งที่สามีประสบอุบัติเหตุ จึงตั้งใจใช้ชีวิตช่วงที่เหลือนี้ดูแลครอบครัวและพ่อแม่ที่มีอายุมากแล้ว
เมื่อผมได้รับทราบเหตุผลแล้วก็ยอมรับว่าคงยากที่จะเปลี่ยนใจจึงได้แสดงความขอบคุณแทนคนไข้ ประชาชนและเจ้าหน้าที่รพ.ที่เธอได้ทำหน้าที่พยาบาลอย่างดีที่สุดและเชื่อมั่นว่าบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นี้จะส่งเสริมให้พบแต่ความสุขดังที่หวัง พร้อมกับมีครอบครัวที่อบอุ่นและจะยังคงทำประโยชน์ให้ชุมชนที่อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
ผมเชื่อว่า “ไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม ถ้าเราทำให้ดีที่สุดแล้วเราควรมีความภูมิใจในงานที่เราทำและไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดจะมีคนที่รักและคิดถึงเราในทางที่ดีงามอยู่ตลอดไป”
“ไม่มีงานใดที่ต่ำต้อยหรือไม่มีคุณค่าถ้าเราทำด้วยความรักความจริงใจและทุ่มเทให้กับงานที่เราทำ”
“ขอบคุณที่เป็นคนดี”