แม้จะล่วงเลยปีเก่าก้าวสู่ปีใหม่กันไปแล้ว แม้จะผ่านช่วงมหามิ่งมงคลกันมาพร้อมสารพัดคำอวยพร แต่ในความเป็นจริงแห่งการดำรงชีวิต เรายังต้องกังวลกับการฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคนานาอีกไม่น้อย
ปัญหาแรกรับการมาถึงของปี 2568 คือการพบผู้ป่วยอหิวาตกโรคที่ชายแดนไทย-พม่า !!
ฮือฮากันขึ้นมาทันทีเมื่อกระทรวงสาธารณะสุขของไทย ได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการณ์ฉุกเฉิน(EOC) ส่วนหน้าขึ้นที่จังหวัดตาก เพื่อยกระดับการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์
ทั้งนี้จากการพบผู้ป่วยอหิวาตกโรคกว่า 300 ราย ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาในโรงพยาบาลฉ่วยโก๊กโก่ บ้านฉ่วยโก๊กโก่ อำเภอเมียวดี จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมาร์ ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการรุนแรง 56 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย
พื้นที่ดังกล่าวอยู่บริเวณชายแดนตรงข้ามบ้านวังผา ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก !!
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากก็ต้องกลายเป็นแม่งานใหญ่ของเรื่องนี้โดนทันที เป็นศูนย์ปฏิบัติการณ์ส่วนหน้า พร้อมกับกองกำลังนเรศวร ซึ่งเป็นหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ ได้เพิ่มมาตรการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน และมาตรการการปฏิบัติของกำลังพล เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันและควบคุมโรค ดังนี้
- งดการเดินทางเข้า-ออกผ่านช่องทางธรรมชาติ รวมถึงท่าข้ามของราษฎรทั้งสองฝั่งตามวิถีชีวิต ตามแนวชายแดนตั้งแต่อำเภอพบพระ-แม่สอด-แม่ระมาด เป็นระยะเวลา 1 เดือนหรือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
- เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และเฝ้าตรวจบริเวณชายแดน เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย
- เพิ่มมาตรการดูแลสุขอนามัยของกำลังที่ปฏิบัติภารกิจบริเวณชายแดน โดยการสวมหน้ากากอนามัย ถุงมือทางการแพทย์ การชำระร่างกายหลังจากสัมผัสสิ่งของ และการดูแลสุขอนามัยในการบริโภคอาหารและน้ำดื่ม
- ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ การขนส่งสินค้าและผู้ประกอบการท่าข้าม เพิ่มความเข้มงวดในเรื่องสุขอนามัยของผู้ขับขี่รถขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
สิ่งที่เขาจับตาอันดับแรกคือ หากพบประชาชนในพื้นที่มีอาการท้องเสีย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขทันที เพื่อให้การควบคุมโรคและการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แม้การระบาดครั้งนี้จะเกิดในพื้นที่ชายแดนที่ยังห่างไกลจากเชียงราย-แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก แต่การระบาดของโรคในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน ต้องยอมรับว่าทั้งประชาชนและทางการของบ้านเขา ไม่ได้มีมาตรการที่กระชับ รวดเร็ว ประสิทธิภาพ เหมือนทางการของเรา ฉนั้นจึงไม่ควรไว้วางใจ…เพราะการไปมาหาสู่ของคนฝั่งโน้นและการเข้มงวดเรื่องสุขอนามัย ยังมีช่องให้โรคแพร่กระจายได้มากกว่าที่คิด !!
และหากวันใดมันมาถึงพื้นที่เรา ก็เป็นเรื่องน่ายินดีว่ามาตรการเชิงรุกของทางการไทย ที่รวดเร็วและมีมารฐานสูงกว่า จะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้อย่างทันท่วงที
ประการที่สอง ที่คนเป็นหมอยังช็อคเมื่อเจอไวรัสที่แอลกอฮอล์ฆ่ามันไม่ตาย !!
เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่เป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ เมื่อ “หมอฆนัท” หรือนพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า แอลกอฮอล์ที่เราใช้ๆกันอยู่มันไม่สามารถฆ่าเชื้อโนโรไวรัส-ได้, ต้องหันกลับไปใช้วิธีล้างมือด้วยสบู่เท่านั้น !!
ความกังวลนี้เริ่มจากที่กรมควบคุมโรค แถลงถึงการเกิดโรคอาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วมเฉียบพลัน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการรับเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย พบมากในเด็กเพราะดูแลเรื่องความสะอาดได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ คนแก่ คนภูมิคุ้มกันน้อย ซึ่งเจอมากในช่วงเข้าหน้าหนาว ยิ่งช่วงเทศกาลที่มีการกินอาหารร่วมกัน อาหารปรุงไม่สุก-ค้างคืน เป็นแล้วจะมีอาการถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายบ่อย จนถึงไข้ขึ้น
ดาราตลกรุ่นเดอะอย่าง “คุณเป็ด เชิญยิ้ม” ก็อินเทรนรับเชื้อโนโรไวรัสกับเขาด้วย จนถึงกับนอนโรงพยาบาล โดยเล่าอาการของเขาให้ฟังว่าถ่ายท้องจนผิดปกติ ไข้ขึ้นและปวดเมื่อยตลอดเวลา
ฉนั้น-อย่าประมาทกับการใช้ชีวิตกันนัก เพราะอย่างที่หมอเตือน คือแอลกอฮอล์ที่เราใช้กันเสมอมาตั้งแต่โควิดระบาด มันใช้ไม่ได้กับไวรัสตัวนี้ เพราะมันทนทานต่อสารละลายไขมันอย่างแอลกอฮอล์
เมื่อรู้ที่มาที่ไปแล้วก็อย่าตกใจให้มากนัก เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการป้องกันโรคเสียใหม่ ด้วยน้ำสบู่ กลับมาล้างมือตามหลักการที่ถูกต้อง-ก็พอจะรอดละครับ !!
———————————
