หลังจากมีการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “โควิด-19” มาตั้งแต่ปลายปี 2562 ในที่สุด นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2563 ระบุว่า โรคโควิด-19 ได้เข้าสู่ภาวะ แพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว หลังมีการลุกลามไปยัง หลายประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่มีต้นกำเนิดจากเมืองอูฮั่น มณฑลหัวเปย์ สปป.จีน ดังเป็นที่ทราบกันแล้วนั้น การประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศนั้น ทำให้กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ยกระดับมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัสชนิดนี้ ซึ่งรวมถึงประกาศให้โรคปอดติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็น “โรคติดต่ออันตราย” ตาม พ.ร.บ.โรคติดซึ่งนับเป็นโรคติดต่ออันตรายชนิดที่ 14 ของไทยด้วย
สำหรับรัฐบาลของประเทศไทยเราได้มีมาตรการต่างๆ มากมายออกมาในการป้องกันตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว…แต่ไม่มีเอกภาพเพราะต่างฝ่ายต่างแถลงเพราะขาดความรู้เรื่อง “ผู้นำและการแถลงข่าวในภาวะวิกฤติ” จึงทำให้การสื่อสารไปยังประชาชนสับสนมากขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่มีการกลับบ้านของ “ผีน้อย” (คนไทยผู้ไปใช้แรงงานฯจากเกาหลีใต้ที่ผิดกฎหมายที่หนีการระบาดของโรคฯ ผู้เขียนขอเรียกว่า “โรบินฮู้ดเกาหลีใต้” ก็แล้วกันเพราะเขาเหล่านี้เป็นคนดีส่งเงินมาให้พี่ให้น้องในเมืองไทยปีละหลายๆล้านบาท) จึงทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นเชื่อถือ …กว่าจะมาตั้งหลักได้ก็เมื่อกลางเดือน มี.ค. 63 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 เพื่อแถลงข่าวอย่างมีเอกภาพและมีมาตรการต่างๆออกมามากมายหลายเรื่องดังที่ทราบกันจนปัจจุบัน…เข้าทำนองที่ว่า “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” มาถึงวันนี้(ขณะเขียนต้นฉบับ) มีผู้ป่วยติดเชื้อ “โควิด-19” แล้ว 212 ราย เฝ้าระวัง 7,546 ราย (ข้อมูล 18 มี.ค.63) มาถึงเดือนเมษายนของวันนี้เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างไรก็ตามขอให้กำลังใจแก่ “บุคลากรทางการแพทย์และผู้เกี่ยวข้อง” ทั้งหลาย ในประเทศที่ทำงานกันอย่างเสียสละและเสี่ยงภัยต่อการติเชื้อด้วย..ขอชื่นชมจริงๆ…
การระบาดของ“โควิด-19” เป็นไปตามธรรมชาติของเชื้อโรคเดี๋ยวจะมีโรคใหม่มาอีกแน่ๆ เนื่องเพราะโลกยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ ไร้พรมแดนการกระจายของเชื้อโรคจึงมาจากนักท่องเที่ยวนั่นเอง บางครั้งความสะดวกสบายก็นำมาซึ่งความทุกข์เช่นกัน…อย่างไรก็ตาม…ขอให้ทุกคน “กลัวอย่างมีสติ” อย่าวิตกจริตหรือมีอาการแพนิค (panic)มากเกินไป แม้สื่อต่างๆจะประโคมข่าวทุกเมื่อเชื่อวันก็ตาม ทั้งข่าวจริง ข่าวลวง เราผู้รับสารก็ต้องมีวิจารณญาณด้วย ไม่ด่วนเชื่อทันทีควรยึดหลัก “กาลามสูตร” 10 ประการ มาช่วยตัดกินก่อนปลงใจเชื่อด้วย…จะทำเป็นภูมิคุ้มกันให้เรา…ไม่สติแตกไปด้วย
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและนำไปปฏิบัติได้ ซึ่งผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ บรรดาหมอๆชั้นยอดในเมืองไทยก็อยู่ที่นั่น …ส่วน โรงเรียน สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ได้ดำเนินการป้องกันอย่างเต็มที่ด้วยวิธีการต่างๆตามนโยบายของรัฐบาลมานานแล้ว รวมทั้งมาตรการต่างๆของรัฐ ที่สั่งปิดโน่นนี่บางแห่งและสถานที่ จำนวน 14 วัน ตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.ก็พ้นเกณฑ์ไปแล้วผลเป็นอย่างไรจนมาถึงวันนี้คงทราบผลแล้ว สำหรับข้อมูลที่เป็นข้อปฏิบัติน่าสนใจใกล้ตัว..ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ซึ่งกรมควบคุมโรคระบุจึงขอสรุปไว้ ดังนี้
1) อาการไข้ ได้แก่ วัดอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 °C ขึ้นไป หรือ มีอาการสงสัยว่ามีไข้ ได้แก่ ตัวร้อน ปวดเนื้อปวดตัว หนาวสั่น
2) อาการระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอ น้ำ มูก จาม เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หรือ หายใจลำบาก หากพบอาการป่วยข้อใดข้อหนึ่ง ให้แจ้งผู้ประสานงานของสถานศึกษา พร้อมใส่หน้ากากอนามัย และรีบไปพบ แพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง ขณะเดินทางมาโรงพยาบาลโดยรถยนต์ส่วนตัว ให้เปิดหน้าต่างรถยนต์ไว้เสมอ
3.) การปฏิบัติตัวของผู้อยู่อาศัยร่วมบ้าน และวิธีกำรทำลำยเชื้อในสิ่งแวดล้อมในบ้าน
- ทุกคนในบ้านควรล้างมือบ่อยๆ โดยใช้น้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที กรณีไม่ มีน้ำและสบู่ ให้ลูบมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้นอย่างน้อย 70% เฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของผู้สัมผัสใกล้ชิดหรือสมาชิกคนอื่นในบ้าน เป็นเวลา 14 วัน หลังสัมผัสกับผู้ป่วย
- นอนแยกห้องกับผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่ระบาด
- อาจรับประทานอาหารร่วมกันได้ แต่ต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง
- ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้เดินทางกลับ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดในระยะ 1-2 เมตรกับผู้ที่กลับมาจากพื้นที่ระบาด
- ทำความสะอาดบริเวณที่พัก ห้อนอน ห้องน้ำ ฯลฯ
สุดท้ายขอฝากกฎ 3 ข้อ ว่าเราหรือคนใกล้ๆเป็นหรือไม่ คือ มีไข้ – ไอจาม – มีน้ำมูก – เพิ่งกลับจากพื้นที่เสี่ยง…. สำหรับข้อปฏิบัติตน 14 วัน ของผู้ติดเชื้อ หรือ เฝ้าดูอาการ มี 8 ข้อดังนี้ 1. หลีกเลี่ยง – ใกล้ชิดคนอื่นๆ 2.หยุด -ทำงาน กิจกรรมกับคนหมู่มาก 3.ปิด-ปาก จมูก 4.ห้ามทานอาหารร่วมกับผู้อื่นและใช้ของร่วมกัน 5.สวม -หน้ากากอนามัยอยู่ห่างกัน 1-2 เมตร 6.แยก-ห้องนอน 7.ทำ– ความสะอาด ห้องนอน -น้ำ และ 8.ล้าง -มือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่-เจลล้างมือ 9. ออก-กำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค 10. สังเกตตนเอง มีไข้สูงไอจาม น้ำมูกไหล เจ็บคอ และหนาวสั่น ต้องรีบไปพบแพทย์ รวมทั้งกฎที่ควรจำที่พอรู้กันแล้ว คือ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ ถอยห่างคนหมู่มาก สวมหน้ากากฯทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน”…เมื่อไปพบผู้คน
นี่…เป็นวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยง ที่จะได้ผลและห่างไกลจากไอ้ตัวร้ายไวรัส “โควิด 19” ในภาวะวิกฤติเช่นนี้…เหมือนประสบการณ์จากคนจีนในประเทศที่ผ่านมามันแล้ว ขอทุกท่านโชคดีรอดพ้นจากโรคร้ายในครั้งนี้ได้ …ส่วนผู้ที่อยู่ทางภาคเหนือและภาคอื่นๆ ก็ไม่ควรลืม ภัยเงียบที่จะร้ายแรงในระบบหายใจทั้งปัจจุบันและอนาคต…เพราะมันจะมาเยือนเราทุกๆปีในหน้าแล้งนี้…นั่นคือ “มฤตยูเงียบ PM2.5”